Web Blog การเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ประกอบการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ (สาระเพิ่ม) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ส 22102 และ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ส 23102 ครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา ในการฝึกทักษะเรียนรู้พื้นฐาน การจัดการความรู้ ทักษะภาษาดิจิตอล ทักษะการรู้คิดประดิษฐ์สร้าง ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิผล ทักษะการสืบค้น ฯลฯ เพื่อพัฒนาไปสู่ทักษะความรู้ที่มุ่งหวังของหลักสูตร โรงเรียนมาตรฐานสากล 6 ประการ ประกอบด้วย (1) ทักษะการเรียนรู้ Learning Skills (2) ทักษะการคิด Thinking Skills (3) ทักษะการแก้ปัญหา Problerm Skills (4) ทักษะชีวิต Life Skills (5) ทักษะการใช้เทคโนโลยี Technology Skills (6) ทักษะการสื่อสาร Communication Skills ทฤษฎีระบบการเรียน KM (Knowlead Maneagement) โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม ประกอบการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ คุณครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา(Word Class Standard)

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กำหนดการเรียนรู้ครั้งท6ประวัติความเป็นมาของทวีปแอฟริกา

กำหนดการเรียนรู้ครั้งท6ประวัติความเป็นมาของทวีปแอฟริกา
            ถึงแม้ว่าทวีปแอฟริกา จะเป็นที่รู้จักกันทั่วไปมาก่อน ในกลุ่มชาวยุโรปว่าเป็น ทวีปมืด หรือ กาฬทวีป (Dark Continent) ก็ตาม แต่บริเวณตอนเหนือของทวีป เคยเป็นดินแดนที่ยอมรับกัน ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณที่เก่าที่สุด บริเวณดังกล่าวได้แก่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศยิอิปต์ อารยธรรมอียิปต์ เริ่มต้นเมื่อประมาณ 3,500 ปี ก่อนคริสต์กาล ความเจริญของอียิปต์บางอย่าง มีส่วน เสริมสร้างและเป็นรากฐานความเจริญของอารยธรรมยุโรปด้วย ผลงานทางด้านศิลปวัฒนธรรม ของชาวอียิปต์นับว่าเด่นกว่าของชนชาติใดๆ ในสมัยเดียวกันไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะหรือวัฒธรรม วิวัฒนาการ ของปกครองของชาวอียิปต์ ที่เริ่มต้นจากการรวมตัวเป็นหมู่บ้านในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มาเป็นสองอาณาจักรและรวมเป็นประเทศ  รวมทั้งความสามารถในการจัดระบบการปกครองของกษัตริย์ ที่เน้นการดึงอำนาจมาสู่ศูนย์กลางมีผลทำให้อียิปต์มีระบบการปกครอง ที่มั่นคงอย่างยิ่งในสมัยโบราณชาวอียิปต์ เป็นชนชาติแรกที่ให้มรดกแก่โลกทางด้านวัฒนธรรมภาษา กล่าวคือ เป็นชนชาติแรกที่ประดิษฐ์ตัวอักษรอียิปต์รุ่นแรก คืออักษรเฮียโรกลิฟฟิค (Hieroglyphic) มีลักษณะเป็นอักษรภาพ ความเชื่อในศาสนาโดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ซักนำให้ชาวอียิปต์ค้นคว้าการทำมัมมี่ เพื่อเก็บรักษาศพมิให้เน่าเปื่อย เพื่อรอการกลับคืนมาของวิญญาณและยังเชื่อมโยงไปสู่ผลงานที่เด่นที่สุดทางด้านสถาปัตยกรรม คือการสร้างพีระมิด ซึ่งใช้เป็นสถานที่เก็บศพของฟาโรห นอกจากนี้ชาวอียิปต์ ยังมีความสามารถทางด้านการชลประทาน เลขคณิต เรขาคณิตและการแพทย์อีกอาณาจักรอียิปต์โบราณ มีความเจริญรุ่งเรืองติดต่อกันมานานหลายพันปี จนกระทั่งระยะหลังได้ถูกต่างชาติ สับเปลี่ยนกันเข้ามาครอบครอง อาทิเช่น อัลซีเรียน เปอร์เซียน กรีก โรมัน โดยเฉพาะอาหรับ ที่เข้ามาครอบแทนที่โรมัน ใน ค.ศ. 1185 ซึ่งมีผลทำให้ดินแดนตอนเหนือของทวีปแอฟริกา รับถ่ายทอดวัฒนธรรมมุสลิมไว้ทั้งหมด ส่วนการสำรวจภายในทวีปแอฟริกา เริ่มมีอย่าจริงจัง ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายหลังการปฎิวัติอุตสาหกรรม ทำให้เกิดความต้องการแสวงหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ มาป้อนโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งเชื้อเพลิงใหม่คือน้ำมัน แหล่งแร่ ทองคำ รวมทั้งแหล่งระบายพลเมือง ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวยุโรปจึงมีความเห็นว่า ทวีปแอฟริกาน่าจะเป็นดินแดนที่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ จึงเริ่มให้ความสนใจที่จะเดินทางเข้าไปสำรวจภายในทวีป เพื่อจับจองไว้เป็นอาณานิคมแทนที่จะเดินทางสำรวจชายฝั่งทะเล อย่างที่เคยกระทำมา เมื่อครั้งเริ่มแสวงหาเส้นทางเดินเรือไปยังทวีปเอเซีย 

คริสต์ศตวรรษที่ 1516 เบลเยียมเป็นชนชาติแรก ที่เริ่มเข้าไปบุกเบิก และได้ทำการจับจองบริเวณสองฝั่งแม่น้ำซาอีร์ (คองโก) ไว้ใน ค.ศ. 1876บรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย อังกฤษและฝรั่งเศสนับว่าเป็นคู่แข่งขันสำคัญในการยึดครองดินแดนในทวีปแอฟริกา ดินแดนของฝรั่งเศสส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไปจนถึงทะเลทรายและฮารา ส่วนอังกฤษได้เข้าครอบครองบริบริเวณแอฟริกาทางเหนือ ตะวันตก ตะวันออก และตอนใต้ ซึ่งส่วนใหญ่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรมีคนนอกจากนี้ประเทศอื่น ๆ เช่น อิตาลี สเปน เยอรมัน โปรตุเกส ได้พากันยึดครองดินแดนต่าง ๆ จนในที่สุดเหลือประเทศที่เป็นอิสระเพียง 2 แห่ง คือ ไลบีเรีย และเอธิโอเปีย เท่านั้น การแข่งขันในการแสวงหาอาณานิคมในทวีปแอฟริการดังกล่าวนำไปสู่ความขัดแย้งกัน ระหว่างประเทศมหาอำนาจ และเป็นสาเหตุหนึ่งของสงครามโลก ครั้งที่ 1 (ค.ศ.19141918)นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.19391945 ) เป็นต้นมา ประเทศต่าง ๆ ในทวีปแอฟริกา ต่างก็ดิ้นรนในการเรียกร้องเอกราชกันเรื่อยมา และต่างก็ประสบความสำเร็จในการปกครองตนเอง  อย่างไรก็ตาม การที่แอฟริกาเป็นทวีปใหญ่ที่ประกอบด้วยประเทศใหญ่เล็กมากมายจึงเป็นดินแดนที่ต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ปัญหาสำคัญที่สุดคือปัญหา ทางเศรษฐกิจสังคม ที่นำไปสู่การขาดความมั่นคง ทางการเมืองในหลายประเทศ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอันเกิดจากนโยบายการแบ่งแยกผิว คือนโยบายอะพาร์ดไฮต์ (Apartheid) ในสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ที่รัฐบาลเป็นคนผิวขาว และชนผิวดำไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งยังเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้มาในปัจจุบัน

กำหนดการเรียนรู้ครั้งที่5พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ทวีปออสเตรเลีย-โอเชียเนีย

กำหนดการเรียนรู้ครั้งที่5พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ทวีปออสเตรเลีย-โอเชียเนีย
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
   ออสเตรเลียเป็นทวีปเกือบสุดท้ายที่ชาวยุโรปเดินทางมาพบ ก่อนหน้านี้ชาวยุโรป ไม่ทราบว่ายังมีดินแดนทางตอนใต้ เพียงแต่คาดว่าน่าจะมี ในสมัยกรีกโบราณ นักภูมิศาสตร์ชื่อ ปโตเลมี ได้เขียนแผนที่โลก โดยแสดงให้เห็นว่าทางตอนใต้ของทวีปแฟริกา มีดินแดนเชื่อมต่อกับทางตอนใต้ของทวีปเอเชีย ซึ่งปิดล้อม มหา สมุทรอินเดียไว้ และตั้งชื่อดินแดนส่วนนั้นว่า แทร์รา อินคอกนิตา” Terra Incognita แปลว่า ดินแดนที่ยังไม่รู้จัก 
            ต่อมาในสมัยกลาง นักภูมิศาสตร์ก็ยังเชื่อว่าดินแดนทางใต้นี้มีอยู่ จึงปรากฏแผนที่หลายฉบับที่เขียนขึ้นในสมัยกลาง ที่แสดงที่ตั้งของแผ่นดินขนาดใหญ่ทางตอนใต้ ของมหาสมุทรอินเดียแบบเดียวกับ ปโตเลมี แต่เรียกดินแดนนี้ว่า แทร์รา ออสตราลิส Terra Australis แปลว่า ดินแดนทางใต้ ซึ่งชื่อนี้กลายเป็นชื่อของทวีปและประเทศออสเตรเลีย ในปัจจุบันการค้นพบออสเตรเลียของชาวยุโรปได้รับการบันทึกไว้ครั้งแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ.1606 เมื่อชาวนักสำรวจชาวฮอลันดา ชื่อ วิลเลม แจนสซูน Willem Janszoon ค.ศ.1571-1638 ทำแผนที่ชายฝั่งของแหลมเคปยอร์กและคาบสมุทรเพนินซูลา Cape York and Peninsula ของรัฐควีนสแลนด์ จากการค้นพบครั้งนั้น ทำให้เริ่มมีการทำแผนที่ชายฝั่งตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย ต่อมา ในปี ค.ศ. 1642 นักเดินเรือ ชาวฮอลันดา ชื่อ อเบล แทสมัน ได้เดินเรือจากมหาสมุทรอินเดียอ้อมไปทางใต้ของออสเตรลีย จนพบเกาะ ซึ่งเขาเรียกชื่อว่า เกาะแวนดีเมน Van Diemen’s Land ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเกาะแทสมาเนียเพื่อเป็นเกียรติแก่ อเบล แทสมัน และเรียกดินแดนที่ค้นพบนี้ว่า นิวฮอลแลนด์” New Holland แต่ขณะนั้นยังไม่มีความตั้งใจที่จะประกาศยึดครองดินแดนดังกล่าว ต่อมาในปีเดียวกัน นักสำรวจชาวสเปน ชื่อ หลุยส์ วาเอซ เดอ ทอเรส Luis Vaez de Torres ได้เดินเรือผ่านช่องแคบระหว่างออสเตรเลียและปาปัวนิวกินี จึงเรียกบริเวณนี้ว่า ช่องแคบทอเรส
            จากนั้นในปี ค.ศ.1688 วิลเลียม แดมเปียร์ William Dampier เป็นนักเดินเรือชาวอังกฤษคนแรกที่เข้าไปตั้งถิ่นฐาน บนชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย โดยเขียนชื่อไว้บนสังกะสีตอกติดไว้บนต้นไม ้เพราะพบคนพื้นเมืองแสดงอาการเป็นศัตรูและสภาพภูมิอากาศแห้งแล้งจึงไม่สนใจ ต่อมาในปี ค.ศ.1770 กัปตันเจมส์ คุก James Cook ชาวอังกฤษ ได้ล่องเรือมาสำรวจและได้จัดทำแผนที่ทางด้านชายฝั่งตะวันออกของทวีปออสเตรเลีย เห็นสภาพภูมิอากาศคล้ายแคว้นเวลส์ของสหราชอาณาจักรจึงได้ตั้งชื่อดินแดนแถบนั้นว่า นิวเซาท์เวลส์” New South Wales พร้อมกันนั้น ได้ประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร แล้วยึดครองออสเตรเลีย เป็นอาณานิคม  สาเหตุที่รัฐบาลอังกฤษตัดสินใจส่งนักโทษมาตั้งถิ่นฐานที่ออสเตรเลียเนื่องจาก อังกฤษได้สูญเสียอาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือ และต้องการระบายนักโทษที่แออัดอยู่ในคุกของประเทศอังกฤษ โดยกัปตันอาร์เธอร์ฟิลลิป Arthur Philip เป็นผู้ควบคุมนักโทษกลุ่มแรกได้เดินทางมาถึงอ่าวซิดนีย์ เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1788 และได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานถาวรบริเวณ อ่าว พอร์ต แจคสัน แล้วตั้งชื่อว่า ซิดนีย์ โคฟ ในวันที่ 26 มกราคม 1788 (ถือเป็นวันชาติออสเตรเลีย) นับเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งถิ่นฐานในทวีปออสเตรเลียของชาวอังกฤษ
ผู้ตั้งถิ่นฐานในยุคแรกส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษและครอบครัวของทหารแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ ผู้ที่ตั้งใจย้ายมาตั้งถิ่นฐานใหม่ซึ่งรวมถึงชนชาติอื่น ๆ อาทิ อิตาเลียน กรีกและชาวยุโรปชาติอื่น ๆ ตลอดจนชาวเอเชีย อาทิ จีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น โดยเริ่มตั้งถิ่นฐานครั้งแรกบริเวณอ่าวโบตานีเมืองซิดนีย์ ในปัจจุบัน ต่อมามีการค้นพบทองคำ ในปี ค.ศ. 1800 จัดว่าเป็นยุค ตื่นทอง” GOLD RUSH ส่งผลให้ผู้ที่มิใช่นักโทษอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในทวีปออสเตรเลียมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยกลุ่มคนที่มามีทั้งชาวอังกฤษ ไอร์แลนด์ เยอรมัน จีน นอกจากนี้ ยังมีชาวแอฟริกันอพยพเข้ามาและมีการนำ อูฐ เข้ามาด้วย เพื่อออกสำรวจในพื้นที่ภายในทวีปปรากฏว่าช่วงระยะเวลา เพียง 10 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1853-1863 ประชากรในอาณานิคม วิตอเรีย เพิ่มขึ้นจาก 77,000 คน เป็น 540,000คน ผลของการตื่นทอง เป็นเหตุให้มีผู้คนอพยพเข้าไปในออสเตรเลียเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะชาวจีน ได้เดินทางเข้าไปแสวงโชคหางานทำ ชาวอาณานิคมที่เป็นชาวผิวขาวเริ่มวิตกกังวลและตั้งข้อรังเกียจชาวจีนที่เข้ามาแย่งอาชีพ รัฐบาลของออสเตรเลีย จึงได้ใช้ นโยบายออสเตรเลียขาว White australian policy เพื่อจำกัดคนที่ไม่ใช่ผิวขาวเข้าเมือง โดยพาะชาวจีนการตั้งถิ่นฐานบนเกาะแทสเมเนีย หรือ ชื่อที่เรียกในขณะนั้นคือ แวนไดเมนส์แลนด์ Van Diemen’s Land ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1825 แยกออกมาเป็นอีกรัฐหนึ่ง ชื่อ รัฐแทสเมเนีย ตามชื่อ นักเดินเรือ อเบลแจนซูน ทัสมัน Abel Janszoon Tasman
นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1850 อุตสาหกรรมขนสัตว์ การขุดทอง การขาดแคลนแรงงาน แผ่นดินอันกว้างใหญ่สำหรับการเพาะปลูก การทำเหมืองแร่ และการค้าขาย ได้ทำให้ออสเตรเลียเป็นดินแดนแห่งโอกาส และเป็นแรงกระตุ้นให้คนจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกหลั่งไหลมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนออสเตรเลียเพิ่มจำนวนมากขึ้น  ในปี ค.ศ.1829 สหราชอาณาจักรได้ประกาศยึดครองดินแดนทางฝั่งตะวันตกของทวีปออสเตรเลีย และได้แยกดินแดนทางด้านตะวันตกออกจาก นิวเซาท์เวลส์ มาเป็นอีกหลายมลรัฐ ได้แก่ รัฐออสเตรเลียใต้ ในปี ค.ศ.1836 รัฐนี้เรียกว่าเป็น พื้นที่เสรี Free Province คือ เป็นรัฐที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรองรับนักโทษ Penal Colony รัฐวิคตอเรีย ในปี ค.ศ.1851 และรัฐควีนส์แลนด์ ในปี ค.ศ.1859 ในส่วนของเขตการปกครอง เทอร์ริทอรีเหนือNorthern Territory ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1911 โดยเป็นส่วนที่ตัดออกมาจากรัฐออสเตรเลียใต้  ในปี ค.ศ.1848 นับเป็นปีแห่งการยุติการขนส่งนักโทษมายังทวีปออสเตรเลีย เนื่องจากมีการรณรงค์ยกเลิกมาตรการดังกล่าวโดยกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐาน ประเทศออสเตรเลียจึงไม่ใช่ดินแดนอาณานิคมของนักโทษอีกต่อไป  ก่อนที่ชนชาติยุโรปจะย้ายถิ่นฐานมาที่ทวีปออสเตรเลีย บนทวีปนี้มีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ ซึ่งจำนวนประชากรในขณะนั้นคาดว่าประมาณ 315,000 คน แต่วิถีชีวิตของชนพื้นเมืองเหล่านี้ถูกเปลี่ยนไปเมื่ออังกฤษเข้ามายึดครองและประกาศเป็นพื้นที่อาณานิคม ซึ่งต่อมาทำให้ชนพื้นเมืองมีจำนวนลดน้อยลง โดยในช่วงปี ค.ศ.1930 จำนวนประชากรลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรเริ่มแรก
 สรุปนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1788 มีชายหญิงประมาณ 160,000 คน ที่อพยพไปออสเตรเลียในฐานะเสมือนนักโทษ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ชนพื้นเมืองของออสเตรเลียได้เผชิญความยากลำบาก จากการรุกรานของผู้อพยพที่อ้างสิทธิในฐานะเจ้าอาณานิคม มีการขับไล่ออกจากพื้นที่ และการเข้ายึดทรัพย์ ในขณะเดียวกัน ชนพื้นเมืองต้องอยู่อย่างลำบาก เจ็บไข้ได้ป่วยและการเสียชีวิต ตลอดจนวิถีชีวิตดั้งเดิมและธรรมเนียมปฏิบัติถูกทำลาย
    ใน ค.ศ. 1914 ออสเตรเลียได้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศออสเตรเลียเป็นอย่างมาก ผู้ชายออสเตรเลียเกือบ 3 ล้านคน และอาสาสมัครเกือบ 400,000 คนต้องเข้าร่วมรบในสงคราม ผลจากสงครามทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 60,000 คนและได้รับบาดเจ็บหลายหมื่นคน
            ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังของออสเตรเลียมีส่วนสนับสนุนครั้งสำคัญในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับยุโรป เอเชียและภาคพื้นแปซิฟิก ได้เข้าสู้รบในสงครามและได้รับชัยชนะอย่างน่าภาคภูมิใจ
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาระหว่างสงครามโลก เป็นเวลาที่ประเทศไร้เสถียรภาพ เศรษฐกิจตกต่ำ และสถาบันทางการเงินของออสเตรเลียหลายแห่งล้ม
            ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หรือหลังจากปี ค.ศ.1945 ออสเตรเลียได้เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรือง กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งและเกิดความต้องการแรงงานอย่างมาก ผู้หญิงจำนวนมากเข้าไปทำงานในโรงงาน ขณะที่ผู้ชายที่กลับจากการออกรบในสงครามสามารถเข้ามาทำงานต่อได้
   ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ออสเตรเลียมีนโยบายที่ไม่แบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติในระดับสากลและที่นี่จึงเป็นบ้านสำหรับประชาชนที่มาจากกว่า 200 ประเทศ

            ในช่วงทศวรรษ 1950 เศรษฐกิจออสเตรเลียพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ระดับชาติ เช่น Snowy Mountains Scheme ซึ่งเป็นแผนกำลังไฟฟ้าพลังน้ำ ตั้งอยู่ในภูเขาบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย รวมถึงชานเมืองออสเตรเลียก็เริ่มมีความเจริญแผ่ไปถึง ทำให้อัตราผู้เป็นเจ้าของบ้านเพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 40 ในปี ค.ศ.1947 เป็นร้อยละ 70 ในทศวรรษ 1960การพัฒนาอื่น ๆ รวมถึงการรักษาความปลอดภัยทางสังคมของรัฐบาลและการเริ่มเผยแพร่สัญญาณโทรทัศน์ และในปี ค.ศ.1956 เมืองเมลเบิร์นได้เป็นเจ้าภาพจัดกีฬาโอลิมปิก ทำให้ออสเตรเลียได้ส่องแสงประกายไปในระดับนานาชาติช่วงทศวรรษ 1960 เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของออสเตรเลีย โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 ชาวออสเตรเลียได้ลงประชามติระดับชาติ โดยมีคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นให้รัฐบาลแห่งชาติมีอำนาจผ่านกฎหมายที่ทำในนามของชนพื้นเมืองออสเตรเลีย เพื่อพัฒนาเงื่อนไขความเป็นอยู่ของชาวอะบอริจินและชาวเกาะทอเรส สเตรท ซึ่งในปัจจุบันจำนวนชนพื้นเมืองมีอยู่มากกว่าร้อยละ 2 ของประชากรทั้งประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลออสเตรเลียได้ดำเนินบทบาทที่สำคัญ โดยการพยายามสร้างความสมานฉันท์ระหว่างกลุ่มชนพื้นเมืองและที่มิใช่ชนพื้นเมือง การดำเนินการที่สำคัญ คือ การออกมากล่าวขอโทษอย่างเป็นทางการของรัฐบาลเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ในกรณีที่มีการแยกเด็กชาวพื้นเมืองออกจากครอบครัวดั้งเดิมเพื่อต้องการลบล้างวัฒนธรรม ประเทศออสเตรเลียในปัจจุบัน นับเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม การศึกษาและวัฒนธรรมที่จะเจริญต่อไ

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กำหนดการเรียนรู้ครั้งที่4   การวิเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์

กำหนดการเรียนรู้ครั้งที่4   การวิเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์
คือการวิเคราะห์และตีความข้อมูลทางประวัติศาสตร์ โดยการนำข้อมูลที่ได้สืบค้นรวบรวม คัดเลือก และประเมินไว้แล้วนำมาพิจารณาในรายละเอียดทุกด้าน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ต้องใช้เหตุผลเป็นแนวทางในการตีความเพื่อนำไปสู่การค้นพบข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง  ความสำคัญนั้นเพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ หรือผู้ที่จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์จะได้นำไปใช้ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ลำเอียง และเกิดความน่าเชื่อถือได้มากที่สุด
   1. หลักฐานที่จำแนกตามความสำคัญ
           1.1 หลักฐานชั้นต้น
           1.2 หลักฐานชั้นรอง
 2. หลักฐานที่ใช้อักษรเป็นตัวกำหนด
           2.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
           2.2 หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
 3. หลักฐานที่กำหนดตามจุดหมายของการผลิต
           3.1 หลักฐานที่มนุษย์ตั้งใจสร้างขึ้น
           3.2 หลักฐานที่มิได้เป็นผลผลิตที่มนุษย์สร้างหรือตั้งใจสร้าง
1. หลักฐานที่จำแนกตามความสำคัญ
        1.1 หลักฐานชั้นต้น primary sources
       หมายถึง คำบอกเล่าหรือบันทึกของผู้พบเห็นเหตุการณ์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง ได้แก่ บันทึกการเดินทาง จดหมายเหตุ จารึก รวมถึงสิ่งก่อสร้าง หลักฐานทางโบราณคดี โบราณสถาน โบราณวัตถุ เช่น โบสถ์ เจดีย์ วิหาร พระพุทธรูป รูปปั้น หม้อ ไห ฯลฯ                                                                                      
        1.2 หลักฐานชั้นรอง secondary sources                       
        หมายถึง ผลงานที่เขียนขึ้น หรือเรียบเรียงขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแล้ว โดยอาศัยคำบอกเล่า หรือจากหลักฐานชั้นต้นต่างๆ ได้แก่ ตำนาน วิทยานิพนธ์ เป็นต้น
2. หลักฐานที่ใช้อักษรเป็นตัวกำหนด
 2.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร written sources
   หมายถึง หลักฐานที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้แก่ ศิลาจารึก พงศาวดาร ใบลาน จดหมายเหตุ วรรณกรรม ชีวประวัติ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร รวมถึงการบันทึกไว้ตามสิ่งก่อสร้าง โบราณสถาน โบราณวัตถุ แผนที่ หลักฐานประเภทนี้จัดว่าเป็นหลักฐานสมัยประวัติศาสตร์
 2.2 หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
   หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งหมดที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ สิ่งก่อสร้าง โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปการแสดง คำบอกเล่า นาฏศิลป์ ตนตรี จิตรกรรม ฯลฯ
3. หลักฐานที่กำหนดตามจุดหมายของการผลิต
 3.1 หลักฐานที่มนุษย์ตั้งใจสร้างขึ้น artiface
หลักฐานที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการดำรงชีวิต

  3.2 หลักฐานที่มิได้เป็นผลผลิตที่มนุษย์สร้างหรือตั้งใจสร้า

กำหนดการเรียนรู้ครั้งที่3 วิธีการทางประวัติศาสตร์

กำหนดการเรียนรู้ที่ 3 วิธีการทางประวัติศาสตร์
ข้อมูลของฉันและครอบครัว
     1.  วิธีการหาความรู้เกี่ยวกับข้อมูลของตนเองและครอบครัว
การเรียนประวัติศาสตร์  คือ  การเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคนในอดีต  เช่น  ประวัติของครอบครัวเรา ความเป็นมาของชุมชนที่เราอยู่อาศัยประเทศของเรา เป็นต้ ดังนั้นการเรียนประวัติศาสตร์จึงเป็นการเรียนรู้เรื่องราวของตนเองของชุมชน  ของประเทศ  ของชาติ  สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับตัวเราซึ่งเราควรให้ความสนใจการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ต้องอาศัยวิธีการทางประวัติศาสตร์  ได้แก่  การสืบค้นข้อมูล  การแสวงหาข้อมูล  การรวบรวมและจัดระบบข้อมูลลักษณะของข้อมูล  มีหลายลักษณะ  ดังนี้
          1.  ข้อเท็จจริง                    2.  ข้อความ
          3.  ข่าวสาร                        4.  เอกสาร
          5.  สถานที่                        6.  สัญลักษณ์ ฯลฯ
การค้นหาข้อมูลเราควรเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวก่อนเพราะเป็นข้อมูลที่เราสามารถค้นหาได้ง่าย  เช่น  ข้อมูลของตัวเราข้อมูลของคนในครอบครัวของเราซึ่งเราต้องใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ช่วยในการสืบค้นข้อมูล  ดังแผนภูมิด้านขวามือ
          วิธีการทางประวัติศาสตร์  คือ
          1.  แหล่งข้อมูล
          2.  วิธีแสวงหาข้อมูล
          3.  การรวบรวมข้อมูล
          4.  การจัดระบบข้อมูล
          ก่อนที่จะเริ่มหาข้อมูล  เราต้องรู้แหล่งข้อมูลที่เราจะไปหาเสียก่อน  เพราะถ้าเราไปหาข้อมูลไม่ถูกแหล่ง  หรือไม่ถูกที่  ก็อาจจะไม่ได้ข้อมูลที่เราต้องการทราบ
          แหล่งข้อมูล  มีหลายลักษณะดังนี้
          1.  แหล่งข้อมูลที่เป็นบุคคล  เช่น  พ่อ  แม่  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ครู  อาจารย์  เจ้าหน้าที่
          2.  แหล่งข้อมูลที่เป็นสถานที่  เช่น  บ้าน  โรงเรียน  วัด  พิพิธภัณฑ์
          3.  แหล่งข้อมูลที่เป็นเอกสารทางราชการ  เช่น  ทะเบียนบ้าน  สูติบัตร  บัตรประชาชน
          4.  แหล่งข้อมูลที่เป็นบันทึกของบุคคล  เช่น  บันทีกประจำวัน  บันทึกการเดินทาง
          เมื่อเราทราบแหล่งข้อมูลแล้ว  ก็สามารถแสวงหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ แล้วจึงรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาจัดให้เป็นระบบ  ก็จะได้ข้อมูลที่ต้องการและนำไปใช้ประโยชน์ได้
 แหล่งข้อมูล      วิธีแสวงหาข้อมูล
 บุคคล                    พูดคุย  ซักถาม  สัมภาษณ์  สังเกต
 สถานที่                  สำรวจ  สังเกต  ซักถามจากผู้ที่อยู่ในสถานที่นั้น
 เอกสารและบันทึก      อ่าน  และสังเกต
          การสืบค้นข้อมูลของตนเองและครอบครัว  จะทำให้เราได้ทราบเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตัวเรา  และสมาชิกในครอบครัว  เช่น  พ่อ  แม่  พี่  น้อง  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ทำให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับตน  รวมทั้งเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ในครอบครัว  และก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในครอบครัวของตนเองด้วย
2.  ประวัติความเป็นมาของครอบครัว

          ประวัติความเป็นมาของแต่ละครอบครัว  เริ่มต้นจากปู่  ย่า  ตา  ยายของเรา  ที่ได้ตั้งที่อยู่อาศัยเพื่อทำมาหากิน  และได้ต่อสู้ฝ่าฟันกับความยากลำบาก  จนถึงรุ่นพ่อแม่ของเราและตัวเรา  ได้มีที่อยู่อาศัยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในช่วงเวลาจากอดีตถึงปัจจุบัน  แต่ละครอบครัวจะมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่ควรจดจำ  ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของสมาชิกในครอบครัว ในแต่ละครอบครัว  จะมีประวัติความเป็นมาที่แตกต่างกันไป  การศึกษาประวัติความเป้นมาของครอบครัว  ทำให้เราทราบว่า  ปู่ย่าตายายของเรามีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างจากเรา  รวมทั้งสภาพบ้านเรือนและสภาพแวดล้อมในอีดตกับปัจจุบันก็แตกต่างกันด้วย